AISโชว์กำไร 2.6 หมื่นล้าน เคาะจ่ายปันผลอีก 4.24 บาทต่อหุ้น
AIS แจ้งผลประกอบการปี 2565 โกยรายได้ 185,485 ล้านบาท กำไรสุทธิ 26,011 ล้านบาท ตัวเลขผู้ใช้บริการมือถือเพิ่ม 1.9 ล้านราย ไฟเบอร์เพิ่ม 400,000 ราย
สื่อนอกตีข่าว เตรียมตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 9หมื่นล้านบาท วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 รายงานข่าวจาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (ADVANC) หรือ เอไอเอส แจ้งผลประกอบการประจำปี 2565 มีรายได้รวม 185,485 ล้านบาท
ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน (181,333 ล้านบาท) กำไรสุทธิอยู่ที่ 26,011 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน (26,922 ล้านบาท) เนื่องจากความท้าทายทางด้านต้นทุนในการดำเนินงาน ปัจจัยหลักมาจากในฝั่งของต้นทุนที่เจอความท้าทายจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อ
แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม ทำให้เอไอเอสมี EBITDA อยู่ที่ 89,731 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากปีก่อน และมี EBITDA Margin แข็งแกร่งที่ระดับ 48% พร้อมจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังที่ 4.24 บาทต่อหุ้น
โดยในปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ที่ 46 ล้านเลขหมาย แสดงถึงจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านเลขหมาย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นผู้ใช้บริการระบบเติมเงินเพิ่มขึ้น 859,000 เลขหมาย และผู้ใช้บริการระบบรายเดือนเพิ่มขึ้น 1 ล้านเลขหมาย
“แม้ว่าผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเบาบางลง แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่แย่ลง ตัวเลขเงินเฟ้อที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ และผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่ยืดเยื้อจากปัจจัยก าลังซื้อผู้บริโภคลดต ่าลงในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อราคาส่งผลให้ ARPU เฉลี่ยปรับตัวลดลงร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ARPU เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.8 จากฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวขาเข้าและขาออกเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นนี้รวมถึงผลของความพยายามของเอไอเอสที่จะเพิ่มรายได้ที่ก่อให้เกิดกำไรในลูกค้าบางกลุ่มด้วย”
จำนวนลูกค้าเอไอเอสไฟเบอร์ยังคงรักษาแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนผู้ใช้บริการอยู่ที่ 2.2 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น 400,000 ราย หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อน ข่าวการเงิน>>> ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้ารีบาวด์ตามภูมิภาค ขานรับ GDP สหรัฐสูงกว่าคาด